การประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2024
การประกวดเพลงยูโรวิชันครั้งที่ 68 / From Wikipedia, the free encyclopedia
การประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2024 (อังกฤษ: Eurovision Song Contest 2024, ฝรั่งเศส: Concours Eurovision de la chanson 2024) เป็นการประกวดเพลงซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมัลเมอ ประเทศสวีเดน ดำเนินการโดยสหภาพการแพร่สัญญาณวิทยุและโทรทัศน์แห่งยุโรป และมีสถานีโทรทัศน์แห่งชาติสวีเดนเป็นเจ้าภาพ โดยมีประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมด 37 ประเทศ แข่งขันรอบคัดเลือกในวันที่ 7 และ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 และรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โดยเป็นการจัดประกวดครั้งที่เจ็ดของสวีเดน และเป็นการจัดประกวดครั้งที่สามในเมืองมัลเมอต่อจากการประกวดในปี 1992 และ 2013[1][2]
การประกวดเพลงยูโรวิชัน 2024 | |
---|---|
รวมใจกันด้วยเสียงดนตรี (United by Music) | |
วันและเวลา | |
รอบรองชนะเลิศรอบที่ 1 | 7 พฤษภาคม 2024 |
รอบรองชนะเลิศรอบที่ 2 | 9 พฤษภาคม 2024 |
รอบชิงชนะเลิศ | 11 พฤษภาคม 2024 |
เจ้าภาพ | |
สถานที่จัดงาน | มัลเมออะเรนา มัลเมอ สวีเดน |
Executive Supervisor | Martin Österdahl |
สถานีโทรทัศน์เจ้าภาพ | สถานีโทรทัศน์แห่งชาติสวีเดน (เอสวีที) |
ประเทศที่เข้าร่วม | |
จำนวนประเทศที่เข้าร่วม | 37 |
ประเทศที่กลับมาเข้าร่วมอีกครั้ง |
|
ประเทศที่ถอนตัว/ไม่กลับมาเข้าร่วม |
|
การลงคะแนน | |
เพลงชนะเลิศ | สวิตเซอร์แลนด์ เดอะ โค้ด |
การตัดสินผู้ชนะในปีนี้ ใช้คะแนนโหวตจากผู้ชมทั้งหมดในรอบคัดเลือก และคะแนนโหวตจากคณะกรรมการกับจากผู้ชมในรอบชิงชนะเลิศ อีกทั้งผู้ชมจากประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมประกวดสามารถโหวตได้ทางออนไลน์ในทุกรอบ โดยคะแนนจะรวมเข้าในกลุ่ม "ส่วนอื่นของโลก" เช่นเดียวกับการประกวดในปีก่อนหน้า[3] แต่มีข้อแตกต่างคือ ผู้ชมจาก "ส่วนอื่นของโลก" จะสามารถโหวตได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงก่อนการแข่งขันจนถึง 25 นาที หลังการแสดงของผู้เข้าประกวดประเทศสุดท้ายเสร็จสิ้น และในรอบชิงชนะเลิศ ประเทศที่เข้าร่วมประกวดจะสามารถโหวตได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มการแสดงของประเทศแรก ซึ่งต่างจากปีก่อนหน้าที่จะโหวตได้ก็ต่อเมื่อการแสดงของผู้เข้าประกวดประเทศสุดท้ายเสร็จสิ้น แต่ระยะเวลาการโหวตอย่างหลังนี้ยังใช้ในรอบคัดเลือกเช่นเดิม[4] นอกจากนี้ แม้ประเทศเจ้าภาพและบิ๊กไฟว์ (สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สเปน และ อิตาลี) จะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศโดยอัตโนมัติก็ตาม แต่ก็ต้องทำการแสดงสดในรอบคัดเลือกด้วย[4]
การรักษาความปลอดภัยในการประกวดครั้งนี้เป็นไปอย่างเข้มงวด อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามอิสราเอล–ฮะมาส ซึ่งอิสราเอลก็เข้าร่วมประกวดครั้งนี้[5] มีการชุมนุมทั้งเพื่อสนับสนุนและประท้วงการเข้าร่วมของอิสราเอล[6][7][8] อนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีก่อนหน้า ทางการสวีเดนได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัยจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ เพื่อตอบสนองเหตุการณ์สงครามอิสราเอล–ฮะมาส และเหตุเผาคัมภีร์อัลกุรอานในประเทศ[9] และเทศบาลเมืองมัลเมอได้เตรียมพื้นที่โรงเรียนและศูนย์กีฬาไว้สำหรับรองรับเหตุฉุกเฉินด้วย[10][11]
ผู้ชนะในการประกวดครั้งนี้คือ เนโม เมทแทลร์ จากสวิตเซอร์แลนด์ โดยเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของประเทศในรอบ 36 ปี นับตั้งแต่เซลีน ดิออน ในปี 1988 โดยก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ โยสต์ ไคลน์ ตัวแทนจากเนเธอร์แลนด์ถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด อีบียูประกาศว่าการตัดสิทธิ์นี้เนื่องจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อช่างภาพหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานโปรดักชันของประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้มีการแจ้งความกับตำรวจสวีเดนแล้ว และอยู่ระหว่างการสอบสวน[12] แต่สถานีโทรทัศน์สาธารณะของเนเธอร์แลนด์ผู้ส่งตัวแทนเข้าประกวด ซึ่งได้หารือกับทางอีบียูก่อนการตัดสิทธิ์นั้น[13] แถลงในภายหลังว่าการลงโทษดังกล่าว "ไม่เหมาะสม" และ "เป็นเรื่องน่าตกใจ"[14] ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยูโรวิชันที่ผู้เข้าประกวดซึ่งผ่านรอบคัดเลือก ถูกตัดสิทธิ์ก่อนการประกวดรอบชิงชนะเลิศ[15]
อนึ่ง เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการประกวดรอบชิงชนะเลิศด้วยพระองค์เอง อีกทั้งทรงกล่าวต้อนรับผู้เข้าประกวดและผู้ชมทั่วโลกผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าในช่วงแรกของการถ่ายทอดสดดังกล่าวด้วย[16]