ภาวะสมองเสื่อม
ความผิดปกติของสมองในระยะยาวทำให้ความจำ ความคิด และพฤติกรรมบกพร่อง / From Wikipedia, the free encyclopedia
ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคสมองเสื่อม[11] (อังกฤษ: Dementia มาจากภาษาละตินว่า de- "ออกไป" และ mens "จิตใจ"[12]) เป็นชื่อรวมของโรคสมองต่าง ๆ ที่เป็นในระยะยาว มักทำให้เสียความคิดและความจำอย่างรุนแรงจนมีผลต่อชีวิตประจำวัน[2] อาการสามัญอื่น ๆ รวมปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาทางภาษา และการไร้แรงจูงใจที่จะทำอะไร ๆ[2][3] ปกติไม่มีผลต่อความรู้สึกตัว[13] เพื่อวินิจฉัยคนไข้ว่าสมองเสื่อม การทำงานของสมองต้องผิดแปลกไปหรือเสื่อมไปเกินกว่าที่คาดหวังได้เพราะความชรา[2][14] โรคนี้มีผลสำคัญต่อผู้ดูแลรักษา[2]
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Senility[1], senile dementia |
ภาพเปรียบเทียบ (ซ้าย) สมองคนชราปกติ ข้อความระบุส่วนสมองที่จะเกิดปัญหาในคนไข้ และ (ขวา) สมองคนไข้โรคอัลไซเมอร์ แสดงการฝ่อของเปลือกสมองและฮิปโปแคมปัสอย่างรุนแรงมาก แสดงโพรงสมองที่ขยายตัวอย่างมาก | |
สาขาวิชา | ประสาทวิทยา จิตเวช |
อาการ | ความคิดและความจำเสื่อม ปัญหาทางอารมณ์และทางภาษา การไร้แรงจูงใจ[2][3] |
การตั้งต้น | ค่อย ๆ เพิ่ม[2] |
ระยะดำเนินโรค | ระยะยาว[2] |
สาเหตุ | โรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อมเหตุหลอดเลือด ภาวะสมองเสื่อมเหตุลิวอี้บอดี้ (LBD) ภาวะสมองเสื่อมเหตุสมองกลีบหน้าและกลีบขมับ (FTD)[2][3] |
วิธีวินิจฉัย | การตรวจการทำงานทางประชาน (เช่น MMSE[upper-alpha 1])[3][4] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | อาการเพ้อ[5] |
การป้องกัน | ได้ความรู้ตั้งแต่เนื่อง ๆ ป้องกันไม่ให้ความดันโลหิตสูง ไม่ให้เป็นโรคอ้วน ไม่สูบบุหรี่ ให้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม[6] |
การรักษา | ดูแลพยาบาล[2] |
ยา | สารยับยั้งโคลิเนสเทอเรส (ประโยชน์เล็กน้อย)[7][8] |
ความชุก | 46 ล้านคน (ปี 2015)[9] |
การเสียชีวิต | 1.9 ล้านคน (ปี 2015)[10] |
โรคสมองเสื่อมที่สามัญสุดก็คือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเกิดเป็นอัตราร้อยละ 50–70[2][3] โรคสามัญอื่น ๆ รวมภาวะสมองเสื่อมเหตุหลอดเลือด (vascular dementia) ที่ 25%, ภาวะสมองเสื่อมเหตุลิวอี้บอดี้ (Lewy body dementia หรือ LBD) ที่ 15% และ ภาวะสมองเสื่อมเหตุสมองกลีบหน้าและกลีบขมับ (frontotemporal dementia หรือ FTD)[2][3] โรคที่สามัญน้อยกว่ารวมภาวะโพรงสมองคั่งน้ำโดยมีความดันปกติ (NPH) ภาวะสมองเสื่อมเหตุโรคพาร์คินสัน (PDD) ซิฟิลิส ภาวะสมองเสื่อมเหตุเอชไอวี และโรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบ (CJD)[15] คนไข้หนึ่ง ๆ อาจมีภาวะสมองเสื่อมหลายอย่าง[2] มีส่วนหนึ่งที่เกิดภายในครอบครัว[16] ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตรุ่น 5 (DSM-5) ภาวะสมองเสื่อมได้จัดใหม่ว่าเป็นความผิดปกติทางประสาทปริชาน (neurocognitive disorder) โดยมีระดับความรุนแรงต่าง ๆ[17] การวินิจฉัยปกติจะอาศัยประวัติคนไข้และการทดสอบการทำงานทางประชาน (cognitive testing) ประกอบกับการสร้างภาพทางสมองและการตรวจเลือดเพื่อกันเหตุอื่น ๆ ออก[4] วิธีการตรวจทางประชานที่ใช้อย่างสามัญอย่างหนึ่งก็คือ mini mental state examination (MMSE)[upper-alpha 1][3] วิธีที่พยายามใช้ป้องกันโรครวมทั้งลดปัจจัยเสี่ยงเช่น ความดันสูง การสูบบุหรี่ เบาหวาน และโรคอ้วน[2] การตรวจคัดกรองโรคในคนทั่วไปไม่แนะนำ[20]
ไม่มีวิธีการรักษาโรค[2] สารยับยั้งโคลิเนสเทอเรส (cholinesterase inhibitors) เช่น โดเนพีซิลมักใช้รักษาและอาจมีประโยชน์ต่อโรคในระดับอ่อนจนถึงปานกลาง[7][21][22] แต่ประโยชน์โดยรวมอาจเพียงแค่เล็กน้อย[7][8] มีวิธีเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไข้และผู้ดูแลหลายอย่าง[2] การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมอาจสมควร[2] การให้ความรู้และกำลังใจแก่ผู้ดูแลเป็นเรื่องสำคัญ[2] การออกกำลังกายอาจมีประโยชน์ในการใช้ชีวิตและอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้น[23] การแก้ปัญหาทางพฤติกรรมด้วยยาระงับอาการทางจิตแม้จะทำอย่างสามัญแต่ก็ไม่แนะนำ เพราะประโยชน์ที่จำกัดและผลข้างเคียง รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงตาย[24][25]
มีคนไข้ภาวะสมองเสื่อม 46 ล้านคนทั่วโลกในปี 2015[9] คนร้อยละ 10 จะเกิดโรคในช่วงชีวิต[16] โดยจะสามัญขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น[26] คนอายุระหว่าง 65–74 ปีร้อยละ 3 มีภาวะสมองเสื่อม, 75–84 ปีร้อยละ 19 และอายุมากกว่า 85 ปีเกือบครึ่ง[27] ในปี 2013 มีคนตายเพราะโรค 1.7 ล้านคนเพิ่มจาก 8 แสนคนในปี 1990[28] เพราะคนอายุยืนขึ้น ภาวะสมองเสื่อมก็เลยสามัญยิ่งขึ้น[26] แต่สำหรับคนในกลุ่มอายุโดยเฉพาะ ๆ อาจจะเกิดน้อยกว่าสมัยก่อนอย่างน้อยก็ในประเทศพัฒนาแล้วเพราะปัจจัยเสี่ยงได้ลดลง[26] มันเป็นเหตุพิการสามัญที่สุดอย่างหนึ่งในคนชรา[3] เชื่อว่า เป็นภาระทางเศรษฐกิจถึง 604,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 20 ล้านล้านบาท)[2] ผู้มีภาวะสมองเสื่อมบ่อยครั้งถูกกักตัวไว้หรือถูกให้ยาระงับประสาทเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน[2] มลทินทางสังคมเป็นเรื่องสามัญ[3]