ราชอาณาจักรฮังการี (ค.ศ. 1920–1946)
ราชอาณาจักรในยุโรปกลาง ดำรงระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1946 / From Wikipedia, the free encyclopedia
ราชอาณาจักรฮังการี (ฮังการี: Magyar Királyság) เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐฮังการีระหว่าง ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1946 ราชอาณาจักรดำรงอยู่กระทั่งความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และการประกาศสาธารณรัฐฮังการีที่ 2 แม้ว่าในช่วงเวลานี้ฮังการีจะปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีพระมหากษัตริย์ มีเพียงผู้สำเร็จราชการ มิกโลช โฮร์ตี ซึ่งเป็นพลเรือเอกแห่งอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่ยังคงเป็นประมุขแห่งรัฐ หลังจากการปกครองแบบอนุรักษนิยมเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1944 ประเทศก็ตกอยู่ภายใต้การครอบงำโดยนาซีเยอรมนีใน ค.ศ. 1944 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังปฏิบัติการทางทหารในเดือนมีนาคม ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการถูกแทนที่โดยผู้นำฟาสซิสต์ แฟแร็นตส์ ซาลอชี แห่งพรรคแอร์โรว์ครอสส์ในเดือนตุลาคม แต่ต่อมากองกำลังนาซีได้ถูกขับไล่ออกจากฮังการีโดยกองกำลังโซเวียต ทำให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต และมีการล้มเลิกระบอบราชาธิปไตยใน ค.ศ. 1946 ในทางประวัติศาสตร์แล้ว จะมีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างยุคสมัยอื่น ๆ ที่ใช้ชื่อราชอาณาจักรฮังการีเหมือนกัน ดังนั้นคำว่า ยุคผู้สำเร็จราชการ หรือ ยุคโฮร์ตี จึงมักถูกใช้อธิบายเพื่อบ่งบอกถึงช่วงเวลานี้[10]
บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาสเปน คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
ราชอาณาจักรฮังการี | |||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1920–1946 | |||||||||||||||||||||||||||||||
ราชอาณาจักรฮังการีใน ค.ศ. 1942 | |||||||||||||||||||||||||||||||
เขตการปกครองของฮังการี ค.ศ. 1942 | |||||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | บูดาเปสต์ | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาราชการ | ฮังการี | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาพื้นเมือง | รูซึน[1][2] (ในซับคาร์เพเทีย) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | โรมาเนีย • เยอรมัน • สโลวัก • โครเอเชีย • เซอร์เบีย • ยิดดิช • สโลวีเนีย • โรมานี[3] | ||||||||||||||||||||||||||||||
กลุ่มชาติพันธุ์ (1941)[3] | |||||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา (1941)[3] | รายการ
| ||||||||||||||||||||||||||||||
เดมะนิม | ชาวฮังการี | ||||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง | รัฐผู้สำเร็จราชการภายใต้ลัทธิอำนาจนิยม (1920-1944) รัฐฮังการีนิยม รัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้ระบอบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (1944-1945) คณะเปลี่ยนผ่านภายใต้รัฐบาลผสม (1945-1946) | ||||||||||||||||||||||||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920-1946 | ว่าง [หมายเหตุ 1] | ||||||||||||||||||||||||||||||
ประมุขแห่งรัฐ | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920-1944 | มิกโลช โฮร์ตี[หมายเหตุ 2] | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1944-1945 | แฟแร็นตส์ ซาลอชี[หมายเหตุ 3] | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1945-1946 | สภาแห่งชาติชั้นสูง[หมายเหตุ 4] | ||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920 (คนแรก) | กาโรย ฮูซาร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1945-1946 (คนสุดท้าย) | โซลตาน ทิลดี | ||||||||||||||||||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
• สภาสูง | แฟลเชอฮาซ (Felsőház) | ||||||||||||||||||||||||||||||
• สภาล่าง | เกปวีแชเลอฮาซ (Képviselőház) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม · สงครามโลกครั้งที่สอง | ||||||||||||||||||||||||||||||
29 กุมภาพันธ์ 1920 | |||||||||||||||||||||||||||||||
4 มิถุนายน 1920 | |||||||||||||||||||||||||||||||
• วิกฤตอีสเตอร์ | 26 มีนาคม 1921 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• การเดินขบวนในบูดาเปสต์ | 21 ตุลาคม 1921 | ||||||||||||||||||||||||||||||
2 พฤศจิกายน 1938 | |||||||||||||||||||||||||||||||
• บุกครองซับคาร์เพเทีย | 14 มีนาคม 1939 | ||||||||||||||||||||||||||||||
30 สิงหาคม 1940 | |||||||||||||||||||||||||||||||
11 เมษายน 1941 | |||||||||||||||||||||||||||||||
27 มิถุนายน 1941 | |||||||||||||||||||||||||||||||
19 มีนาคม 1944 | |||||||||||||||||||||||||||||||
16 ตุลาคม 1944 | |||||||||||||||||||||||||||||||
1 กุมภาพันธ์ 1946 | |||||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||||||||||||||||||||
1920[4] | 92,833 ตารางกิโลเมตร (35,843 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
1930[5] | 93,073 ตารางกิโลเมตร (35,936 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
1941[6] | 172,149 ตารางกิโลเมตร (66,467 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920[7] | 7,980,143 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1930[8] | 8,688,319 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1941[9] | 14,669,100 | ||||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน | โกโรนอ (1920-1927) แป็งเกอ (1927-1946) | ||||||||||||||||||||||||||||||
เขตเวลา | UTC+1 (CET) | ||||||||||||||||||||||||||||||
UTC+2 (CEST) | |||||||||||||||||||||||||||||||
[หมายเหตุ 5] | |||||||||||||||||||||||||||||||
ขับรถด้าน | ขวา (ตั้งแต่ ค.ศ. 1941) | ||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | โครเอเชีย ฮังการี โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย ยูเครน | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
หลังจากความพ่ายแพ้ทางทหารของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 บรรดาพรรคอนุรักษนิยมต่างเห็นชอบให้มีการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยฮังการีขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่กองทัพและกลุ่มขวาจัดปฏิเสธการกลับมาของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค จึงมีการสถาปนาตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนขึ้นเป็นการชั่วคราวในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920[11] ลักษณะการปกครองของผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีนั้นเป็นแบบอนุรักษนิยม[12] ชาตินิยม และต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง[13] ระบอบผู้สำเร็จราชการได้รับการสนับสนุนโดยพันธมิตรอนุรักษนิยมที่ไม่มั่นคงและฝ่ายขวาจัด[14] นโยบายระหว่างประเทศของฮังการีในช่วงเวลานี้มีลักษณะเฉพาะคือ การแก้ไขหรือการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนของสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่แตกต่างจากในอดีตและเพื่อต่อต้านบอลเชวิค ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งต่อมาจะรวมทั้งการต่อต้านชาวยิว และการปฏิเสธการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วย[15] ในเดือนพฤศจิกายน มีการลงนามในสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งถูกกำหนดไว้โดยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยภายในเนื้อหาของสนธิสัญญาระบุถึงการที่ฮังการีจะต้องสูญเสียดินแดนและประชากรจำนวนสองในสามให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน[16] ส่งผลให้การเมืองฮังการีในสมัยระหว่างสงครามถูกครอบงำจากการสูญเสียดินแดนตามสนธิสัญญานี้ ซึ่งทำให้ชาวฮังการีมากกว่าสามล้านคนอยู่นอกเขตแดนใหม่ของราชอาณาจักร[17] การแก้ไขพรมแดนไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมอำนาจทางการเมืองของชาติเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการขาดการปฏิรูปภายในด้วย[18] การสิ้นสุดสมัยแห่งความไม่มั่นคงหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอิชต์วาน แบตแลน[19][20] ผู้ลงสมัครซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มขวาจัด[21] การนำนโยบายทางต่างประเทศอันสงบมาใช้และการยุติความไม่มั่นคงภายใน ทำให้ประเทศฮังการีสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติได้ใน ค.ศ. 1922[22] จากเสถียรภาพทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้ฮังการีสามารถเจรจากับสถาบันการเงินของต่างประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น[23] ด้วยการสนับสนุนของโฮร์ตี ทำให้แบตแลนสามารถควบคุมการเลือกตั้งและการครอบงำพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รัฐบาลของเขาสามารถอยู่ในอำนาจได้เป็นเวลาสิบปี โดยที่ไม่มีการต่อต้านใด ๆ เลย แรงสนับสนุนของรัฐบาลแบธแลนไม่ได้มาจากพรรคการเมืองเพียงเท่านั้น แต่ยังมาจากนักบวช ชนชั้นนายทุน และเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในชนบทอีกด้วย[24] แม้ว่าประเทศจะมีลักษณะการปกครองในรูปแบบรัฐสภา แต่ก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ยังคงเป็นระบอบเผด็จการอนุรักษนิยม[25] ฮังการีถูกครอบงำโดยชนชั้นสูงและข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่มีภูมิฐานจากชนชั้นสูง[26] หลังจากช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อันเนื่องมาจากการปฏิวัติใน ค.ศ. 1919 ชนชั้นสูงก็สามารถนำอำนาจกลับคืนมาได้อีกครั้ง และฟื้นฟูระบอบการเมืองและสภาพสังคมให้กลับไปเป็นแบบในช่วงก่อนสงครามโลก[26] กลุ่มแรงงานในเมืองและชาวนา ซึ่งเป็นจำนวนสองในสามของประชากรทั้งหมด ต่างไม่มีอิทธิพลในรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย[26] และการวางตัวเป็นกลางของพวกสังคมนิยม ทำให้ผู้คนในช่วงปลายทศวรรษถัดมา เริ่มมีแนวคิดหัวรุนแรงจนกลายเป็นฟาสซิสต์[27]
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมขนานใหญ่ ซึ่งทำให้รูปแบบทางการเมืองของรัฐบาลแบตแลนเกิดปัญหา[28] ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีและนักการเมืองชั้นนำจึงตัดสินใจเข้าพบกับจูลอ เกิมเบิช ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขวาจัดและเป็นบุคคลที่น่าจะทำให้มวลชนสงบลงได้มากที่สุด[29] เมื่อเกิมเบิชได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงค่อย ๆ วางผู้สนับสนุนของเขาไว้ในตำแหน่งสำคัญทั้งในส่วนของรัฐบาลและกองทัพ[30] หลังจากที่แบตแลนลาออกจากตำแหน่ง ระบอบผู้สำเร็จราชการเริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ค.ศ. 1935 เป็นต้นไป[31] โฮร์ตีกลายเป็นผู้ชี้ขาดทางการเมืองระดับชาติ ทั้งเพราะรัฐบาลที่เริ่มเสื่อมถอยมากขึ้น เนื่องจากความแตกแยกระหว่างพรรคอนุรักษนิยมกับกลุ่มขวาจัด และเพราะแรงสนับสนุนที่เขาได้รับจากกลุ่มฝ่ายขวาส่วนใหญ่ในประเทศ[32] โฮร์ตีจึงพยายามรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้[31] ในช่วงแปดปีของการปกครองโดยระบอบผู้สำเร็จราชการ อิทธิพลของเยอรมนีและความนิยมของจักรวรรดิไรช์เริ่มแพร่กระจายสู่ประชากรส่วนหนึ่ง ทำให้การเมืองภายในประเทศเริ่มเกิดความรุนแรง และได้โน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูรูปแบบอนุรักษนิยมให้เหมือนดังในช่วงทศวรรษ 1920[33] เยอรมนีสามารถบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ ดังนั้นโฮร์ตีจึงเล็งเห็นว่าเยอรมนีน่าจะสามารถสนับสนุนฮังการีให้บรรลุความปรารถนาในการแก้ไขดินแดนได้ แต่มันกลับพังทลายลง เมื่อฮังการีเริ่มกลายเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมนีทีละน้อย[33] รัฐบาลฮังการีประสบความล้มเหลวในความพยายามที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของเยอรมนีและฝ่ายขวาของประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปฏิเสธที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานในการแก้ไขดินแดน ซึ่งความสำเร็จนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับทางรัฐบาลเบอร์ลินด้วย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มขวาจัดในฮังการี[34]
แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างเยอรมนีและอิตาลี ส่งผลให้ประเทศสามารถกู้คืนดินแดนส่วนหนึ่งที่เสียไปให้แก่เชโกสโลวาเกียกลับมาได้ตามการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่หนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938[35] ซี่งในช่วงเวลานี้เอง ที่เยอรมนีเริ่มมีบทบาทในการเมืองฮังการี[36] ความปรารถนาของประชาชนในการเปลี่ยนแปลง เจตคติเชิงปฏิกิริยาต่อรัฐบาลที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ความอ่อนแอลงของฝ่ายซ้าย และอำนาจของขบวนการฟาสซิสต์ในยุโรปนั้น เอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตขึ้นของกลุ่มฝ่ายขวาจัดที่คัดค้านการปฏิรูป[37] ในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่สอง ซึ่งมีผู้ตัดสินคืออิตาลีและเยอรมนีใน ค.ศ. 1940 ทำให้ฮังการีได้รับดินแดนทางตอนเหนือของทรานซิลเวเนียจากโรมาเนีย[38] ประเทศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สองโดยอยู่ฝ่ายอักษะ ซึ่งหันไปต่อต้านยูโกสลาเวียและมีส่วนช่วยในการบุกครองสหภาพโซเวียตเมื่อปลายเดือนมิถุนายน และพันธมิตรตะวันตกในเดือนธันวาคม[31] อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายอักษะเริ่มพ่ายแพ้แก่กองทัพโซเวียต ทำให้ฮังการีพยายามเปลี่ยนฝ่ายในช่วงปลายสงครามแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากความปรารถนาที่จะรักษาดินแดนที่เคยสูญเสียไปและระบบสังคมที่ล้าสมัย อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะต่อต้านสหภาพโซเวียต[39] เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนฝ่ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอิตาลี เยอรมนีจึงบุกครองประเทศโดยปราศจากการต่อต้านในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944[40] คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งดูแลโดยตัวแทนจากนาซีเยอรมนีได้ทำการปฏิรูปกองทัพและเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงครามของเยอรมนีและยุติปัญหาชาวยิว[41] พวกนาซีได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล อันเป็นการสิ้นสุดลงของระบอบผู้สำเร็จราชการที่นำโดยโฮร์ตี และได้มอบอำนาจให้แก่ แฟแร็นตส์ ซาลอชี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคแอร์โรว์ครอสส์[42] แต่ท้ายที่สุดกองทัพโซเวียตก็สามารถขับไล่นาซีเยอรมนีออกจากดินแดนฮังการีได้เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1945[43] เป็นเหตุให้การผนวกดินแดนของฮังการีในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาทั้งสองครั้งถูกประกาศว่าเป็นโมฆะภายหลังสงคราม[44]
ด้วยประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำให้การกระจายที่ดินยังคงไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก[45] โดยทั่วไปแล้ว ชาวนาฮังการีต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้น[45] การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศได้รับการสนับสนุนเพื่อพยายามลดจำนวนประชากรล้นเกินในชนบท แต่ก็ไม่เคยเติบโตมากพอที่จะลดจำนวนประชากรในภาคการเกษตรได้[46] ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจชองฮังการีอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ราคาธัญพืชซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของฮังการีทรุดตัวลงในตลาดโลก[47] วิกฤตการณ์ร้ายแรงทางเศรษฐกิจส่งผลให้อิทธิพลของฟาสซิสต์อิตาลีและเยอรมนีเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าหลักของผลผลิตทางการเกษตรเพียงไม่กี่รายในประเทศ ซึ่งไม่ถูกครอบงำโดยตลาดต่างประเทศอีกต่อไป[48] ใน ค.ศ. 1938 เยอรมนีเริ่มควบคุมการนำเข้าและส่งออกของฮังการีถึง 50 % แล้ว[49] การค้าขายกับเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นและการเริ่มต้นนโยบายการเสริมกำลังอาวุธ ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงครึ่งหลังทศวรรษ 1930 ได้[42] อย่างไรก็ตาม สภาพความเป็นอยู่และการทำงานของคนงานในอุตสาหกรรมยังคงย่ำแย่ แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธมีส่วนช่วยในการขจัดการว่างงานไปได้แทบทั้งหมด[50] สำหรับประชากรชาวยิวใน ค.ศ. 1930 ซึ่งคิดเป็น 5.1 % ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ[51] ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านอุตสากรรม พาณิชยกรรม และการเงินของประเทศ[52] ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 จนถึงต้นทศวรรษ 1940 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อชาวยิว ซึ่งจำกัดสิทธิต่าง ๆ ของชาวยิวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มไม่มั่นคง[53] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวทั้งหมด 565,000 คน ถูกสังหารในดินแดนของฮังการี[54]