ศาลสูงสุดอินเดีย
From Wikipedia, the free encyclopedia
ศาลสูงสุดอินเดีย (อังกฤษ: Supreme Court of India) เป็นศาลชั้นสูงสุดแห่งสาธารณรัฐอินเดีย จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญอินเดีย ภาค 5 หมวด 4 เพื่อแทนที่ศาลกลาง (Federal Court) และคณะกรรมการตุลาการในคณะองคมนตรี (Judicial Committee of the Privy Council) ออกนั่งบัลลังก์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มกราคม 1950[1]
ศาลสูงสุดอินเดีย Supreme Court of India भारत का उच्चतम न्यायालय | |
---|---|
สถาปนา | 28 มกราคม 1950 |
ที่ตั้ง | ติลกมรรค นิวเดลี |
พิกัด | 28.622237°N 77.239584°E / 28.622237; 77.239584 |
คติพจน์ | มีธรรมจึงมีชัย यतो धर्मस्ततो जयः Yatō Dharmastatō Jayaḥ Whence Dharma, Thence Victory |
วิธีได้มา | สรรหาโดยฝ่ายบริหาร |
ที่มา | รัฐธรรมนูญอินเดีย |
ยื่นอุทธรณ์ต่อ | ไม่มี (แต่ประธานาธิบดีอินเดียสามารถอภัยโทษ) |
วาระตุลาการ | จนกว่าอายุครบ 65 ปี |
จำนวนตุลาการ | 31 (ประธาน 1 คน ตุลาการอีก 30 คน) |
เว็บไซต์ | sci.nic.in |
ประธานศาลสูงสุดแห่งอินเดีย | |
ปัจจุบัน | พี. สตศิวัม (P. Sathasivam) |
ตั้งแต่ | 19 กรกฎาคม 2013 |
ตำแหน่งผู้นำสิ้นสุด | 26 เมษายน 2014 |
รัฐธรรมนูญ มาตรา 124 ถึงมาตรา 147 กำหนดองค์ประกอบและเขตอำนาจของศาลไว้ ตามความในบทบัญญัติดังกล่าว ศาลมีอำนาจเบื้องต้นเป็นการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชำระข้อพิพาททางปกครองเกี่ยวกับรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ ศาลยังมีอำนาจชำระอุทธรณ์จากศาลสูง (High Court) และจากศาลอื่น ๆ ในระดับรัฐและระดับดินแดน
ตั้งแต่ปี 1937 ถึงปี 1950 บัลลังก์ของศาลอยู่ที่นเรนทรมณฑล (Chamber of Princes) ในอาคารรัฐสภา ซึ่งเคยใช้เป็นบัลลังก์ศาลกลางแห่งอินเดีย ครั้นปี 1958 จึงย้ายไปยังอาคารใหม่จนปัจจุบัน[1]
ในระยะหลัง โดยเฉพาะในปี 2008 ศาลต้องผจญเรื่องอื้อฉาวจำนวนมาก โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่า ตุลาการชั้นผู้ใหญ่ฉ้อราษฎร์บังหลวง[2] ทั้งยังนำภาษีประชาชนไปใช้ส่วนตัว[3] แต่งตั้งข้าราชการตุลาการโดยวิธีลับ[4] ไม่ยอมเปิดเผยสินทรัพย์ต่อสาธารณชน[5] และไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชนตามความในรัฐบัญญัติสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร (Right to Information Act)[6] อนึ่ง เมื่อเค. จี. พลกฤษณัน (K. G. Balakrishnan) ประธานศาล แสดงความคิดเห็นว่า ตนไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่เป็นเจ้าหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างใหญ่หลวง[7] ขณะเดียวกัน ฝ่ายตุลาการอินเดียเองถูกประธานาธิบดีหลายคน เช่น ประติภา ปาฏีล (Pratibha Patil) และเอ. พี. เจ. อับดุล กลาม (A. P. J. Abdul Kalam) ตำหนิอย่างหนักว่า ละเลยหน้าที่[8] ทั้งมานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) นายกรัฐมนตรี ก็ระบุว่า ปัญหาหลักของฝ่ายตุลาการ คือ การฉ้อฉลโกงกิน และเสนอแนะให้มีมาตรการเร่งด่วนเพื่อขจัด "ภัยคุกคาม" (menace) เหล่านี้[9]
นอกจากปัญหาข้างต้นแล้ว ศาลยังถูกติเตียนเรื่องทำหน้าที่เชื่องช้า สิ้นปี 2011 ปรากฏสถิติว่า มีคดีที่ชำระไม่เสร็จ 58,519 เรื่อง และในจำนวนนั้น คดี 37,385 เรื่องถูกดองไว้นานกว่า 1 ปี แต่ถ้าไม่นับคดีที่เกี่ยวพันกันแล้ว จะมีคดีค้างอยู่ 33,892 เรื่อง[10]